14.9.54

It's ME ^^



ชื่อ-สกุล : จิรวรรณ  จันทร์น้อย
ชื่อเล่น : จา


วันเดือนปีเกิด : 1 เมษายน 2533


การศึกษา : จบจาก โรงเรียน ส่องแสงพณิชยการ จ.สงขลา
กำลังศึกษา : มหาวิทยาลัย สงขลานครินทร์ วิทยาเขต ตรัง
สาขา : การจัดการสารสนเทศและคอมพิวเตอร์


E-Mail : Mushroom0027@hotmail.com
งานอดิเรก : ฟังเพลง เล่นเกม


ศิลปินที่ชอบ : The Mousses :))




6.9.54

สิ่งสำคัญที่คิดได้เมื่อสายไป



5 อันดับแรกที่คนส่วนใหญ่มักเสียใจที่ไม่ได้ทำสิ่งเหล่านี้ ขณะที่พวกเขายังแข็งแรงดีอยู่


1. ฉันอยากจะมีชีวิตที่เป็นของตัวเอง แทนที่จะเป็นในแบบที่คนอื่นอยากให้ฉันเป็น
นี่เป็นอันดับแรกสุดที่หลายคนปรารถนาอยากให้มันเกิดขึ้น
ขณะที่พวกเขายังมีกำลังวังชาดี
ณ เวลาปัจจุบันที่พวกเขามองย้อนกลับไป จึงได้พบว่ามีหลายความหวังและความฝัน
ที่เขายังไม่มีโอกาสแม้แต่จะเริ่มต้นลงมือทำ พอมานึกได้ตอนนี้ก็สายเกินไปเสียแล้ว
เขาไม่มีกำลังเหลือที่จะต่อสู้เพื่อความฝันอีกต่อไป
ตลอดเวลาที่ผ่านมา...
พวกเขาล้วนแต่วิ่งไล่ตามสิ่งที่คนอื่นอยากเห็นเขาทำ อยากให้เขาเป็น
จนลืมไล่ตามความฝันของตัวเอง
ในหนึ่งชีวิตที่ได้เกิดมานั้น การได้ทำสิ่งต่าง ๆ ตามที่เราใฝ่ฝันถือว่าสำคัญที่สุด
ถึงจะสำเร็จหรือไม่ก็ตาม แต่อย่างน้อยขอเพียงให้ได้ลงมือทำ
เพราะหากละทิ้งปล่อยให้มันผ่านล่วงเลยไปจนวันที่สุขภาพไม่เอื้ออำนวยแล้ว
แม้จะอยากไล่ตามความฝันแค่ไหนก็ทำไม่ได้อีกต่อไป


2. ฉันไม่น่าจะทุ่มเททำแต่งานมากขนาดนั้น
ผู้ชายหลายคนล้วนเป็นหัวหน้าครอบครัว
และรับผิดชอบในการหาเงินมาจุนเจือดูแลสมาชิกในบ้าน
เมื่อมองย้อนกลับไปพวกเขาจึงไม่อาจระงับความเสียใจได้
ที่ไม่ได้ใช้เวลากับลูก ๆ และภรรยาให้มากกว่านี้
พวกเขาเสียใจอย่างสุดซึ้งที่เอาแต่โหมทำงานหนักจนละเลยการใช้เวลากับครอบครัว
มันคงจะดีกว่านี้ถ้าเราจะเพิ่มเวลาว่างให้แต่ละวันในชีวิต
และใช้ช่วงเวลาเหล่านั้นกับบุคคลอันเป็นที่รัก มีความสุขในแต่ละวันมากขึ้น
และไม่ต้องมานั่งเสียใจเมื่อสายเกินไปแบบนี้ด้วย


3. ฉันน่าจะได้พูดเรื่องนั้นออกไป
หลาย  ๆ คนเสียใจที่ตัวเองไม่ได้พูดในสิ่งที่อยากพูดออกมา
หลายคนเลือกที่จะสงบปากสงบคำเอาไว้เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ หรือผิดใจกับผู้อื่น
จนทำให้อาการป่วยหลาย ๆ อย่างพัฒนาขึ้นมาจากความเครียด
ที่ต้องเก็บงำสิ่งเหล่านี้เอาไว้นั่นเอง
ไม่ว่าอย่างไร เราก็ไม่สามารถควบคุมความคิดของอีกฝ่ายที่จะมีต่อเราได้
การที่เราได้พูดในสิ่งที่ใจคิดออกไป  แม้อาจทำให้อีกฝ่ายไม่พึงใจ
แต่มันก็จะเปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างเรากับบุคคลนั้นไปในทิศทางใหม่
ที่ตรงไปตรงมาและจริงใจต่อกัน
และคุณเองก็ไม่ต้องอึดอัดใจกับการที่ไม่สามารถพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดออกไปได้ด้วย


4. ฉันอยากใช้เวลากับเพื่อนสนิทให้มากกว่านี้
หลายครั้งหลายหนนัก
ที่กว่าเราจะเข้าใจความสำคัญและยิ่งใหญ่ของมิตรภาพ
ก็เมื่อเวลาล่วงเลยจนสายเกินไป
คนเรามักจะรู้สึกเสียใจที่ไม่ได้ให้เวลาในการบำรุงรักษามิตรภาพเก่าแก่ของตน
ซึ่งส่วนหนึ่งนั้นเกิดจากวิถีการใช้ชีวิตแบบใหม่ที่ยุ่งและเร่งรีบ
เสียจนเวลาในหนึ่งวันไม่เหลือพอให้คิดถึงสหายที่เคยกอดคอร่วมกันมา
แต่เมื่อเวลาผ่านพ้นไปจนถึงช่วงระยะเวลาสุดท้ายของชีวิต
หนึ่งในสิ่งที่พวกเขาโหยหามากที่สุดก็คือความรักจากมิตรสหาย
อยากพบหน้า อยากพูดคุย อยากใช้เวลาด้วยกันให้มากกว่าที่ผ่านมา 


5. ฉันอยากใช้ชีวิตให้มีความสุขมากกว่านี้
หลายคนพูดเช่นนี้หาได้ไม่พอใจในความเป็นอยู่ของชีวิตที่เคยเป็นมา
แต่เป็นเพราะว่าเมื่อมองย้อนกลับไป
พวกเขากลับพบหนทางมากมายเหลือเกินที่จะทำให้ชีวิตมีความสุขได้มากกว่าเดิม
แต่พวกเขากลับไม่เลือกเดินทางนั้น
ที่ผ่านมาพวกเขาใช้ชีวิตด้วยความหวาดกลัวต่อการเปลี่ยนแปลง
กลัวสิ่งที่จะเปลี่ยนชีวิตที่เป็นอยู่ให้ต่างไปจากเดิม
โดยที่ยังไม่รู้ว่าการเปลี่ยนแปลงนั้น จะเป็นไปในทิศทางใด จะดีหรือว่าร้าย
ทำให้ชีวิตย่ำอยู่บนกรอบแคบ ๆ อันเดิม
กิจวัตรในแต่ละวันคงเดิม ไม่มีความแปลกใหม่ ไม่มีสีสันที่จะทำให้ชีวิตน่าจดจำเลย
ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว
พวกเขาเองก็มีสิทธิ์เลือก เลือกทางเลือกที่จะหนีไปให้พ้นความซ้ำซากจำเจนี้
ในใจลึก ๆ แล้วทุกคนก็อยากจะกลับไปหัวเราะให้เต็มเสียงหรือทำตัวไร้สาระบ้าง
ซึ่งคงมีเวลาทำมากว่านี้ ถ้าไม่มานึกได้เมื่อสายเกินไป


จากทั้ง 5 ข้อที่กล่าวมานี้ ดู ๆ แล้วก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ใคร ๆ ก็คิดได้
แต่คงด้วยความเป็นเรื่องธรรมดา ๆ นี่เอง
หลายคนจึงได้มองข้ามมันไป เพราะคิดว่าทำเมื่อไรก็ได้
แต่คำว่าเมื่อไรนั้นก็มีจุดสิ้นสุดเช่นกัน
และเมื่อมันสิ้นสุดลงในวันที่กายของเราทรุดโทรม ไร้กำลังทำสิ่งใด ๆ
ได้แต่ปล่อยเวลาที่เหลือไปกับการคิด คิดถึงสิ่งที่อยากจะทำ
แต่ยังไม่เคยได้ทำ และคงสายเกินไปแล้วที่จะทำ


อย่าลืมว่าชีวิตที่เกิดมานี้คุณเป็นคนเลือกและกำหนดได้เอง
เพราะฉะนั้นขอให้เลือกอย่างมีสติ เลือกอย่างฉลาด เลือกอย่างจริงใจต่อตนเอง
แล้วก็ขอให้เลือกที่จะมีความสุข...
ที่สำคัญเลือกและลงมือทำก่อนที่เวลาจะสายเกินไป...

4.9.54

เหตุผลที่ควรยิ้ม :D


            เมื่อเปรียบเทียบการยิ้มกับการแสดงสีหน้าแบบอื่น
เช่น โกรธ เศร้า เคร่งขรึม  วิตกกังวล ฯลฯ แล้ว
จะพบว่าการยิ้มใช้กล้ามเนื้อใบหน้าน้อยกว่าการแสดงสีหน้าแบบอื่นมาก
การยิ้มจึงเป็นเรื่องที่ง่ายกว่า ใช้พลังงานน้อยกว่า
และทำให้ใบหน้าดูดีกว่าการแสดงสีหน้าแบบอื่นๆ ด้วย


เพื่อให้กล้ามเนื้อบนใบหน้าของคุณได้ทำงานซะบ้าง
ถ้าคุณยิ้มให้เขา มีหรือเขาจะไม่ยิ้มตอบคุณ
อย่างน้อยคุณจะได้ให้เขาช่วยเตือนว่ามีเศษผักสีเขียวมรกต
ยังคงสนุกสนานในปากคุณ
การยิ้มเป็นการเริ่มต้นแห่งมิตรภาพที่ดีที่สุด
ถ้าคุณไม่ยอมยิ้ม แล้วใครจะได้เห็นล่ะว่า คุณมีลักยิ้มที่น่ารักที่สุด
เมื่อคุณทำผิดแล้วโดนจับได้ การแก้ตัวก็มีแต่จะกลายเป็นเรื่องใหญ่
แต่การยิ้มเจื่อน ๆ แบบว่า แย่จัง!! คุณจะดูเหมือน พวกที่สำนึกผิด
แล้วใครล่ะ จะกล้าโกรธคุณลง
ยิ้มสวยๆ จะทำให้คนหน้าตาธรรมดาๆ ดูดีขึ้นจนน่าประหลาดใจ
การยิ้มในวันที่อ่อนล้าหรือเซ็งสุดๆ ในชีวิต จะช่วยกระตุ้นให้คุณรู้สึกดีขึ้น
ถ้าคุณพูดไม่เก่ง ลีลาไม่เด็ด ให้ยิ้มมากๆ เป็นการชดเชย
รอยยิ้มเป็นสัญญาณบอกใครๆ ว่าคุณพร้อมจะเปิดใจแล้ว
ยิ้มดีๆ เพียงครั้งเดียวดีกว่าคำพูดนับแสนคำ


ยิ้มเกิดขึ้นได้อย่างไร
รอยยิ้ม เกิดจากการทำงานของกล้ามเนื้อ 2 มัดใหญ่ คือ
ไซโกเมติก เมเจอร์ ( Zygomatic major) ที่จะช่วยดึงมุมปากให้ยกขึ้นไปหาโหนกแก้ม
และออร์บิคิวลาริส ออคิวไล (Orbicularis Oculi )
ที่จะช่วยดึงเนื้อแก้มและเบ้าตาให้ยกขึ้น


ยิ้มมีผลต่อร่างกายอย่างไร
จากการศึกษาพบว่า เมื่อกล้ามเนื้อใบหน้าเคลื่อนไหวจนเกิดเป็นรอยยิ้ม
จะส่งผลทำให้โลหิตแดงที่ไปเลี้ยงสมองมีอุณหภูมิลดลง 
จะทำให้เกิดความรู้สึกสบายและผ่อนคลาย
ซึ่งจะตรงข้ามกับการทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ที่การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อใบหน้า
จะทำให้สมองมีอุณหภูมิสูงขึ้น และเกิดความรู้สึกไม่สบาย


          นอกจากนี้ ในขณะที่คนเรายิ้ม หัวใจจะเต้นช้าลง ความดันโลหิตลดลง
ระบบต่างๆ ในร่างกายจะผ่อนคลาย  ต่อมหมวกไตจะทำงานน้อยลง
ฮอร์โมนอะดรีนาลีน ซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความเครียด จะถูกขับออกมาน้อยลงด้วย
การยิ้มจึงช่วยลดความเครียดได้


การยิ้มมีความสัมพันธ์กับความสุขอย่างไร
เป็นที่สงสัยกันมาก ว่า คนเรามีความสุขแล้วจึงยิ้ม หรือยิ้มก่อนแล้วจึงมีความสุข
ทำให้นักวิชาการต้องทำการศึกษาวิจัยในเรื่องนี้ให้ถ่องแท้ลงไป
และผลที่ได้ก็พบว่าเป็นไปได้ทั้งสองอย่าง
นั่นคือ เมื่อคนเรารู้สึกมีความสุข เราจะแสดงออกทางสีหน้าด้วยรอยยิ้ม
แต่ก็มีบางคนเหมือนกัน ที่ชอบเก็บกดอารมณ์ของตน
เวลามีความสุขก็ยังพยามบังคับสีหน้าให้ดูเคร่งขรึม
ซึ่งต้องใช้กล้ามเนื้อใบหน้ามากกว่า เสียพลังงานมากกว่า
และทำให้ไม่สามารถมีความสุขได้อย่างเต็มที่
ในทางตรงข้าม แม้คนเราจะยังไม่รู้สึกมีความสุข แต่เมื่อยิ้มแล้ว
สักพัก จะรู้สึกว่าอารมณ์ดีขึ้นและมีความสุขได้เช่นกัน


ที่มา :http://www.vcharkarn.com/varticle/43227


ประโยชน์ของการหัวเราะ


ความดันโลหิตลดลง
ฮอร์โมนเกี่ยวกับความเครียดลดลง
ขณะเดียวกันการทำงานของฮอร์โมนต่าง ๆ ก็เป็นปกติ
กระตุ้นระบบภูมิชีวิต (Immune system)
ทำให้ T-celll ซึ่งเป็นทหารประจำตัว คอยกำจัดเชื้อโรคเพิ่มจำนวนขึ้น
รวมถึงแอนตี้บอดี้อื่นๆ ในร่างกายด้วย
คลายความเจ็บปวด อารมณ์ขัน ทำให้ผู้ป่วยลืมความเจ็บปวด
และยังกระตุ้นการสร้างเอ็นดอร์ฟินในร่างกาย
ซึ่งเป็นฮอร์โมนระงับปวดโดยธรรมชาติอยู่แล้ว กล้ามเนื้อได้ผ่อนคลาย
ขณะที่หัวเราะ กล้ามเนื้ออื่นๆ ที่ไม่ได้สัมพันธ์กับการหัวเราะ จะผ่อนคลาย
และเมื่อหยุดหัวเราะ กล้ามเนื้อที่สัมพันธ์กับการหัวเราะ ก็จะผ่อนคลาย
เป็นการทำงานสองขั้นตอน
หายใจดีขึ้น การหัวเราะบ่อยๆ ทำให้ปอดโล่ง
หายใจได้ลึกขึ้นดีมากๆ สำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องการหายใจ


รู้อย่างนี้แล้ว หันมาผ่อนคลายจิตใจ หัวเราะให้บ่อยขึ้น
แต่อย่ามากกว่าปกติ เดี๋ยวคนรอบข้างจะหาว่า...ไม่รู้ตัว


ที่มา   http://hilight.kapook.com/view/31930

ความรัก กับ รองเท้า



วันหนึ่ง ฉันอยากได้รองเท้า
ฉันเดินเข้าไปในร้านที่มีรองเท้าหลากสี หลายแบบวางเรียงรายกันอยู่
ร้านแล้วร้านเล่า...
แต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่า จะได้รองเท้าถูกใจ กลับไปด้วย แม้แต่คู่เดียว
เลือกแล้ว เลือกอีก...

รองเท้าส้นสูงสีส้มคู่นั้น
สะท้อนเงาเฉิดฉายผ่านกระจกออกมาแตะตาฉัน ตั้งแต่แรกเห็น
มันช่างเป็นรองเท้าที่สวย   จนอยากมีไว้ประดับคู่เท้าในทุกย่างก้าว...

โดยไม่รอรี ฉันเดินตรงลิ่วเข้าไปหามัน
แม้ป้ายราคาเล็กๆที่คิดเอาไว้ จะบอกราคาที่ไม่เล็กนัก
แต่ฉัน ไม่ลังเลสักนิดเดียว ที่จะจ่ายเงินจำนวนนั้นออกไป...
เพื่อให้ได้รองเท้าที่ถูกใจที่สุดในวันนี้

"แน่นนิดนึงนะคะ มีคู่ใหม่ที่ใหญ่กว่านี้มั้ย"
ฉันถามพนักงานขาย   ขณะที่กำลังพยายามสอดเท้าลงไปในรองเท้าคู่สวยให้พอดี
"ไม่มีหรอกค่ะ เรามีแบบละคู่เท่านั้น รับรองว่าใส่แล้วไม่ซ้ำแบบใคร"
พนักงานขายเสนอข้อได้เปรียบในการซื้อสิ้นค้า
"แต่ดิฉันว่าใส่แล้วก็พอดีนะคะ เผื่อมันยึดออกอีกนิดหน่อย"
เธอยังคงเสนอต่อ เมื่อเห็นแววตาที่ฉันชื่นชมสินค้าของเธอ...

เย็นวันนั้น ฉันกลับบ้านด้วยรอยยิ้มกรุ่น
พร้อมกับร้องเท้าคู่สวยที่อยู่ในมือ
ฉันจัดแจงโยนรองเท้าผ้าใบคู่เก่า ที่ใส่มาแรมปีทิ้งไป
อย่างไม่แยแส...

วันรุ่งขึ้น ฉันออกเดินด้วยรองเท้าคู่ใหม่ อย่างเฉิดฉาย
ยิ่งมีใครต่อใครชมว่า มันสวยนักหนา ฉันก็ยิ่งปลื้มใจ ^^
ทว่า ไม่ทันข้ามวัน รองเท้าเจ้ากรรมก็แผลงฤทธิ์
จนฉันเดินโขยกเขยก
และเย็นวันนั้น ฉันก็ต้องกลับมาบ้าน
พร้อมกับเท้าที่ระบม

หากชีวิตคนเราเป็นเหมือนการเดินทางไกล
ความรัก คงเป็นเหมือนรองเท้า ?

ฉันว่า คนเราไม่ได้ต้องการมากไปกว่า
รองเท้าที่ใส่สบาย...

แต่ก็นั้นแหละ
ใครๆ ก็ย่อมชอบรองเท้าสวยๆ ด้วยกัน ทั้งนั้นมากกว่า
และแม้มันจะใส่แล้วคับไปนิด อึดอัดไปหน่อย
ก็ยังไม่วางมือ  เหตุเพราะว่า มันสวยถูกใจ
หรือแม้มัน จะราคาแพงสิบลิ่ว ก็ยังอยากเป็นเจ้าของให้ได้

หากว่าเรายังต้องเดินทางอีกไกล
แม้จะมีรองเท้าสวยหรู ราคาแพง ยี่ห้อแบรนต์เนม
มันก็คงไม่มีประโยชน์...
แม้จะสวยแค่ไหน แต่ถ้ามันทำเท้าเราเจ็บ...
สุดท้ายเราก็คงต้องถอดมันออก
เพราะถ้าขืนเราเดินทั้งเท้าเจ็บๆ เราคงไปไม่ถึงปลายทาง...

ความรักก็เช่นกัน
เราอาจใฝ่ฝันที่จะมีคนรักสวย รวย เก่ง ฉลาด เลิศหรู
แต่ความเป็นจริงแล้ว
เราเพียงต้องการคนๆนั้น เพื่อให้ตัวเราดูดีขึ้นมาเท่านั้นเอง

ฉันว่านะ รองเท้าที่ใส่แล้วสบาย  ไม่จำเป็นต้องสวยเด่นอะไร
เพราะฉะนั้น  คนที่จะมาจับจูงมือเราไปตลอดทางของชีวิต
ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่ดีเลิศที่สุด จนใครนึกอิจฉา

บางที การใส่รองเท้าที่เดินแล้วสบาย
มันอาจทำให้เรามีความสุขมากกว่า
เพราะฉันเชื่อว่ามันจะพาเราไปจนถึงจุดหมาย
โดยที่เราไม่ต้องเจ็บเท้า
และนึกอยากจะโยนมันทิ้งไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด
ตลอดการเดินทาง...