6.9.54

สิ่งสำคัญที่คิดได้เมื่อสายไป



5 อันดับแรกที่คนส่วนใหญ่มักเสียใจที่ไม่ได้ทำสิ่งเหล่านี้ ขณะที่พวกเขายังแข็งแรงดีอยู่


1. ฉันอยากจะมีชีวิตที่เป็นของตัวเอง แทนที่จะเป็นในแบบที่คนอื่นอยากให้ฉันเป็น
นี่เป็นอันดับแรกสุดที่หลายคนปรารถนาอยากให้มันเกิดขึ้น
ขณะที่พวกเขายังมีกำลังวังชาดี
ณ เวลาปัจจุบันที่พวกเขามองย้อนกลับไป จึงได้พบว่ามีหลายความหวังและความฝัน
ที่เขายังไม่มีโอกาสแม้แต่จะเริ่มต้นลงมือทำ พอมานึกได้ตอนนี้ก็สายเกินไปเสียแล้ว
เขาไม่มีกำลังเหลือที่จะต่อสู้เพื่อความฝันอีกต่อไป
ตลอดเวลาที่ผ่านมา...
พวกเขาล้วนแต่วิ่งไล่ตามสิ่งที่คนอื่นอยากเห็นเขาทำ อยากให้เขาเป็น
จนลืมไล่ตามความฝันของตัวเอง
ในหนึ่งชีวิตที่ได้เกิดมานั้น การได้ทำสิ่งต่าง ๆ ตามที่เราใฝ่ฝันถือว่าสำคัญที่สุด
ถึงจะสำเร็จหรือไม่ก็ตาม แต่อย่างน้อยขอเพียงให้ได้ลงมือทำ
เพราะหากละทิ้งปล่อยให้มันผ่านล่วงเลยไปจนวันที่สุขภาพไม่เอื้ออำนวยแล้ว
แม้จะอยากไล่ตามความฝันแค่ไหนก็ทำไม่ได้อีกต่อไป


2. ฉันไม่น่าจะทุ่มเททำแต่งานมากขนาดนั้น
ผู้ชายหลายคนล้วนเป็นหัวหน้าครอบครัว
และรับผิดชอบในการหาเงินมาจุนเจือดูแลสมาชิกในบ้าน
เมื่อมองย้อนกลับไปพวกเขาจึงไม่อาจระงับความเสียใจได้
ที่ไม่ได้ใช้เวลากับลูก ๆ และภรรยาให้มากกว่านี้
พวกเขาเสียใจอย่างสุดซึ้งที่เอาแต่โหมทำงานหนักจนละเลยการใช้เวลากับครอบครัว
มันคงจะดีกว่านี้ถ้าเราจะเพิ่มเวลาว่างให้แต่ละวันในชีวิต
และใช้ช่วงเวลาเหล่านั้นกับบุคคลอันเป็นที่รัก มีความสุขในแต่ละวันมากขึ้น
และไม่ต้องมานั่งเสียใจเมื่อสายเกินไปแบบนี้ด้วย


3. ฉันน่าจะได้พูดเรื่องนั้นออกไป
หลาย  ๆ คนเสียใจที่ตัวเองไม่ได้พูดในสิ่งที่อยากพูดออกมา
หลายคนเลือกที่จะสงบปากสงบคำเอาไว้เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ หรือผิดใจกับผู้อื่น
จนทำให้อาการป่วยหลาย ๆ อย่างพัฒนาขึ้นมาจากความเครียด
ที่ต้องเก็บงำสิ่งเหล่านี้เอาไว้นั่นเอง
ไม่ว่าอย่างไร เราก็ไม่สามารถควบคุมความคิดของอีกฝ่ายที่จะมีต่อเราได้
การที่เราได้พูดในสิ่งที่ใจคิดออกไป  แม้อาจทำให้อีกฝ่ายไม่พึงใจ
แต่มันก็จะเปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างเรากับบุคคลนั้นไปในทิศทางใหม่
ที่ตรงไปตรงมาและจริงใจต่อกัน
และคุณเองก็ไม่ต้องอึดอัดใจกับการที่ไม่สามารถพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดออกไปได้ด้วย


4. ฉันอยากใช้เวลากับเพื่อนสนิทให้มากกว่านี้
หลายครั้งหลายหนนัก
ที่กว่าเราจะเข้าใจความสำคัญและยิ่งใหญ่ของมิตรภาพ
ก็เมื่อเวลาล่วงเลยจนสายเกินไป
คนเรามักจะรู้สึกเสียใจที่ไม่ได้ให้เวลาในการบำรุงรักษามิตรภาพเก่าแก่ของตน
ซึ่งส่วนหนึ่งนั้นเกิดจากวิถีการใช้ชีวิตแบบใหม่ที่ยุ่งและเร่งรีบ
เสียจนเวลาในหนึ่งวันไม่เหลือพอให้คิดถึงสหายที่เคยกอดคอร่วมกันมา
แต่เมื่อเวลาผ่านพ้นไปจนถึงช่วงระยะเวลาสุดท้ายของชีวิต
หนึ่งในสิ่งที่พวกเขาโหยหามากที่สุดก็คือความรักจากมิตรสหาย
อยากพบหน้า อยากพูดคุย อยากใช้เวลาด้วยกันให้มากกว่าที่ผ่านมา 


5. ฉันอยากใช้ชีวิตให้มีความสุขมากกว่านี้
หลายคนพูดเช่นนี้หาได้ไม่พอใจในความเป็นอยู่ของชีวิตที่เคยเป็นมา
แต่เป็นเพราะว่าเมื่อมองย้อนกลับไป
พวกเขากลับพบหนทางมากมายเหลือเกินที่จะทำให้ชีวิตมีความสุขได้มากกว่าเดิม
แต่พวกเขากลับไม่เลือกเดินทางนั้น
ที่ผ่านมาพวกเขาใช้ชีวิตด้วยความหวาดกลัวต่อการเปลี่ยนแปลง
กลัวสิ่งที่จะเปลี่ยนชีวิตที่เป็นอยู่ให้ต่างไปจากเดิม
โดยที่ยังไม่รู้ว่าการเปลี่ยนแปลงนั้น จะเป็นไปในทิศทางใด จะดีหรือว่าร้าย
ทำให้ชีวิตย่ำอยู่บนกรอบแคบ ๆ อันเดิม
กิจวัตรในแต่ละวันคงเดิม ไม่มีความแปลกใหม่ ไม่มีสีสันที่จะทำให้ชีวิตน่าจดจำเลย
ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว
พวกเขาเองก็มีสิทธิ์เลือก เลือกทางเลือกที่จะหนีไปให้พ้นความซ้ำซากจำเจนี้
ในใจลึก ๆ แล้วทุกคนก็อยากจะกลับไปหัวเราะให้เต็มเสียงหรือทำตัวไร้สาระบ้าง
ซึ่งคงมีเวลาทำมากว่านี้ ถ้าไม่มานึกได้เมื่อสายเกินไป


จากทั้ง 5 ข้อที่กล่าวมานี้ ดู ๆ แล้วก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ใคร ๆ ก็คิดได้
แต่คงด้วยความเป็นเรื่องธรรมดา ๆ นี่เอง
หลายคนจึงได้มองข้ามมันไป เพราะคิดว่าทำเมื่อไรก็ได้
แต่คำว่าเมื่อไรนั้นก็มีจุดสิ้นสุดเช่นกัน
และเมื่อมันสิ้นสุดลงในวันที่กายของเราทรุดโทรม ไร้กำลังทำสิ่งใด ๆ
ได้แต่ปล่อยเวลาที่เหลือไปกับการคิด คิดถึงสิ่งที่อยากจะทำ
แต่ยังไม่เคยได้ทำ และคงสายเกินไปแล้วที่จะทำ


อย่าลืมว่าชีวิตที่เกิดมานี้คุณเป็นคนเลือกและกำหนดได้เอง
เพราะฉะนั้นขอให้เลือกอย่างมีสติ เลือกอย่างฉลาด เลือกอย่างจริงใจต่อตนเอง
แล้วก็ขอให้เลือกที่จะมีความสุข...
ที่สำคัญเลือกและลงมือทำก่อนที่เวลาจะสายเกินไป...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น